เรือคำหยาดมีลักษณะเป็นเรือชะล่า ขุดจากซุงท่อนเดียวทั้งลำ บรรจุฝีพายได้ประมาณ 40 คน จึงทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการรบ หรือใช้เป็นเรือขับไล่ในสงครามครั้งอดีต จากประวัติศาสตร์ทำให้รู้ว่า เมื่อสงครามเกิดขึ้นตามลุ่มแม่น้ำโขง เรือคำหยาดมีบทบาทสำคัญเรื่องปฏิบัติการทางน้ำ
เรือคำหยาดเป็นเรือประจำตำแหน่งของพระปทุมเทวาภิบาล (บุญมา ณ หนองคาย) ผู้เป็นเจ้าเมืองหนองคายลำดับที่ 1 สร้างจากไม้ตะเคียนทั้งต้น โดยนำไม้ดังกล่าวมาจากดงสะคุ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ระหว่างพิธีล้มไม้นั้นมีน้ำยางหยาดเยิ้มตามลำต้นตลอด ดังนั้นพอขุดเรือเสร็จจึงตั้งชื่อว่า "คำหยาด" ตามเหตุการณ์นั้น
เมื่อล้มไม้ตะเคียนแล้ว ได้ใช้ช้างลากซุงมาทำพิธีขุดเรือที่ซอยไปรษณีย์ (หรือซอยเทียมปู) ในเขตเทศบาลเมืองหนองคายปัจจุบัน ซึ่งเป็นโรงเรือของเจ้าเมืองในยุคนั้น โดยมี "ญาคูใหญ่" (ญาคู คือ คำโบราณใช้เรียกภิกษุผู้ชำนาญเวทย์มนต์คาถา เช่น ญาคูขี้หอม เป็นต้น) แห่งบ้านนาร่อง ทำพิธีขุดจนเสร็จเป็นลำเรือ ไม่ทราบวันเดือนปีที่สร้างแน่ชัด แต่ประมาณว่าหลัง พ.ศ. 2370 เป็นต้นมา
ประวัติศาสตร์วีรกรรมเรือคำหยาดที่สำคัญคือเมื่อเกิดศึกฮ่อในปี พ.ศ. 2418 (กบฏไต้ผิงของจีน) บุกปล้นเมืองล้านช้างและหัวเมืองภาคอีสาน ถึง 3 ครั้ง รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯให้พันเอกพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายไทย ณ เมืองหนองคาย เคลื่อนทัพเพื่อไปปราบฮ่อให้เด็ดขาด โดยใช้ทหารหัดใหม่แบบยุโรป (ซีปอย) บุกค่ายฮ่อ ที่ทุ่งเชียงคำ แขวงเชียงขวางประเทศลาว จนทัพฮ่อแตกพ่ายไป
ในครั้งนั้น เรือคำหยาดทำหน้าที่บรรทุกข้าวสาร 10 กระสอบต่อเที่ยว ส่งกองทัพฝ่ายไทย จากเมืองหนองคายล่องไปตามแม่น้ำโขงจนถึงปากน้ำงึม และพายเรือทวนแม่น้ำสายดังกล่าวถึงกองทัพฝ่ายไทย อีกทั้งทำหน้าที่นำสาสน์รายงานข่าวศึก และนำผู้บาดเจ็บมารักษาหลายเที่ยว จนค่ายฮ่อแตก เรือคำหยาดก็ทำหน้าที่บรรทุกเชลยฮ่อและอัฐิทหารไทยกลับมายังจังหวัดหนองคาย
เที่ยวสุดท้ายคาดว่าเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 ตรงกับวันที่ 5 มีนาคม 2528 (ซึ่งสมเสด็จในกรมได้บันทึกไว้) ทหารไทยได้นำเชลยฮ่อมาขังไว้ข้างวัดลำดวนที่เรียกว่า "ซอยฮ่อ" และสร้างสถูปบรรจุอัฐิทหารไทยไว้ข้างสถานีตำรวจภูธรหนองคาย (อนุสาวรีย์ปราบฮ่อองค์เดิม)
จากนั้นเรือคำหยาดถูกทิ้งร้างเป็นเวลานาน จนนายไชโย ณ หนองคายทราบว่าเป็นเรือประจำตำแหน่งบรรพบุรุษของตน จึงขอแรงชาวบ้านช่วยกันซ่อมครั้งใหญ่ โดยนำไม้สักมาประกบรอยแตกจนเรียบ และสามารถนำลงแข่งขันเรือยาวประจำปีตามลุ่มแม่น้ำโขง ในเขตจังหวัดหนองคาย
ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ว่า เรือโบราณลำนี้แข่งขันได้รางวัลชนะเลิศเกือบทุกสนาม ซึ่งชาวหนองคายเชื่อว่าเรือคำหยาดเป็นเรืออาถรรพ์ และมีแม่ย่านาง (เทวดาผู้รักษาเรือ) แรงกล้าจนทำให้ฝีพายเรือคู่แข่งเสียขวัญ จึงเป็นผลทำให้เรือคำหยาดชนะโดยง่าย ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของผู้คนตามลุ่มแม่น้ำโขง
หากปีใดคนหนองคายไม่เห็นเรือคำหยาดในสนามแข่งเรือ ทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่าประเพณีแข่งเรือปีนั้นไม่สมบูรณ์ เหมือนขาดอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ ตั้งหน้าตั้งตารอแต่เรือลำเดียวนี้ เมื่อเห็นเรือคำหยาดก็พร้อมใจส่งเสียงดังว่า “อีหยาดลำวัง อีหยาดเฮียเขา อีหยาดเข้าเส้นชัย” นับว่าเป็นความผูกพันระหว่างชาวจังหวัดหนองคายกับเรือเก่าแก่แห่งลุ่มแม่น้ำโขง ที่พบเห็นได้เป็นประจำทุกปีและทุกสนามแข่งขัน ในงานแข่งเรือลุ่มแม่น้ำโขง พื้นที่จังหวัดหนองคาย
นายไชโย ณ หนองคาย ผู้เป็นลูกหลานตระกูล ณ หนองคาย ผูกพันกับเรือคำหยาดมาก จึงตั้งปณิธานว่า “คนอยู่ เรืออยู่” หมายความว่าถ้าเขามีชีวิต ก็จะไม่ยอมให้เรือพังเด็ดขาด จึงตัดสินใจซ่อมเรือครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2537 โดยเหลือแคมเรือเดิมไว้และหาไม้ตะเคียนใหม่มาขุดเป็นท้องเรือ แล้วใช้แผ่นเหล็กยึดกับแคมเดิมด้วยนอตประมาณ 200 ตัว จนแน่นสนิท
จากนั้น เรือคำหยาดก็ลงชิงชัยเป็นเจ้าความเร็วแห่งสายน้ำโขง แต่ปรากฏผลแพ้บ้างชนะบ้างเรื่อยมา ซึ่งชาวจังหวัดหนองคายเชื่อว่า เกิดจากซ่อมแซมเรือในครั้งนั้น ทำให้แม่ย่านางไม่แรงกล้าเหมือนในอดีต
อย่างไรก็ตาม ผู้คนตามลุ่มแม่น้ำโขงจังหวัดหนองคายขอเพียงได้เห็นเรือคำหยาดในงานประเพณีแข่งเรือทุกปี ชาวบ้านก็ดูเหมือนจะดีใจดังพบญาติผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นทั้งความภูมิใจในเรือโบราณอายุเกือบ 2 ศตวรรษ และ 7 แผ่นดิน ถือเป็นความผูกพันระหว่างคนกับเรือที่หาได้ไม่ง่ายนักสำหรับวิถีชีวิตในปัจจุบัน เรือคำหยาดจึงเป็นมรดกล้ำค่าแห่งคนลุ่มแม่น้ำโขงที่ชาวจังหวัดหนองคายภาคภูมิใจตลอดมา